Data Visualization เป็นหนึ่งในแนวปฏิบัติที่สำคัญในยุคของ Data-Driven Business เพราะการจะวิเคราะห์ข้อมูลได้รวดเร็ว ถูกต้อง และแม่นยำ ต้องอาศัยการแปลงข้อมูลให้เป็นภาพที่สามารถเปิดเผยสิ่งที่ซ่อนอยู่ในข้อมูลให้เห็นด้วยตาว่า ข้อมูลมีหน้าตาอย่างไร มันบอกอะไร และเราจะใช้ประโยชน์จากสิ่งที่ได้รับรู้นี้อย่างไร
แต่หากภาพที่สร้างขึ้นมีลักษณะแปลความยาก ซับซ้อน และไม่ชัดเจน ก็มีโอกาสสูงที่จะนำไปสู่ความล้มเหลวที่มีสาเหตุมาจากการสื่อสารที่ขาดประสิทธิภาพ เพราะฉะนั้น การออกแบบจึงเป็นหนึ่งในพื้นฐานสำคัญในการเล่าเรื่อง (Storytelling) เพื่อนำไปสู่การ Take Action ที่เป็นประโยชน์ได้อย่างแท้จริง
ต่อจากนี้ไปจะได้แนะนำขั้นตอน Data Visualization เพื่อใช้ในทางธุรกิจ ซึ่งจะช่วยเพิ่มพลังในการเล่าเรื่อง และวิธีทำให้ข้อมูลกลายเป็นจุดสำคัญของเรื่องราว เปลี่ยนข้อมูลให้กลายเป็นเรื่องราวที่มี Big Impact ต่อกลุ่มเป้าหมาย
การเล่าเรื่องด้วยข้อมูลแบบหวังผล สามารถแบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอน ดังนี้
STEP 1 เข้าใจความสำคัญของบริบท (The Importance of Context)
STEP 2 การเลือกภาพที่หวังผลได้ (Choosing an Effective Visual)
STEP 3 ลดความยุ่งเหยิง (Clutter Is Your Enemy!)
STEP 4 โฟกัสไปที่เรื่องที่อยากบอกผู้ชม (Focus Your Audience’s Attention)
STEP 5 คิดอย่างนักออกแบบ (Think Like a Designer)
Credit : (จากหนังสือ Storytelling With Data, Cole Nussbaumer Knaflic)
ก่อนจะเริ่มทำ #DataVisualization ควรหาคำตอบให้ชัดเจน 3 ข้อคือ
Who : ใครคือผู้ชมของคุณ?
What : คุณต้องการให้พวกเขารู้หรือทำอะไร?
How : คุณจะใช้ข้อมูลเพื่อช่วยในการตัดสินใจได้อย่างไร?
สมมุติว่า เราสามารถตอบคำถามได้ครบแล้วดังนี้
o Who คือ คณะกรรมการงบประมาณ
o What คือ การแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของโครงการ และขอเงินทุนสนับสนุนเพื่อดำเนินโครงการต่อในภาคเรียนต่อๆ ไป
o How คือ ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจเพื่อแสดงว่า เด็กๆ มีความรู้สึกดีต่อวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้นเมื่อเข้าโปรแกรมการเรียนรู้ภาคฤดูร้อน ซึ่งเปรียบเสมือนหลักฐานชิ้นสำคัญที่ต้องนำเสนอต่อคณะกรรมการ
การนำไปประยุกต์ใช้จริงด้วย 3 ขั้นตอน
1. #InBrief : เพื่อเข้าใจที่มาของปัญหา เช่น ถ้าเราพยายามให้เด็กๆ ได้สัมผัสกับวิทยาศาสตร์เร็วขึ้นล่ะ? บรรดาครูจะเปลี่ยนความรู้สึกของเด็กๆ ได้ไหม?
2. #BigIdea : เพื่อสรุปสาระสำคัญและเหตุผล เช่น โปรแกรมนำร่องการเรียนรู้ภาคฤดูร้อนประสบความสำเร็จในการปรับทัศนคติความรู้สึกที่มีต่อวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ด้วยเหตุนี้ กลุ่มครูผู้รับผิดชอบจึงเสนอต่อคณะกรรมการให้มีการดำเนินการต่อในอนาคต และขออนุมัติงบประมาณเพื่อดำเนินงานโปรแกรมนี้
3. #Storyboard : เพื่อเตรียมการนำเสนอ เช่น การกำหนดโครงสร้างอย่างรอบคอบจะทำให้มีโอกาสประสบความสำเร็จสูงขึ้น เช่น ชนะใจลูกค้า พนักงาน หัวหน้า หรือผู้เข้าร่วมรับฟัง เป็นต้น
"The Right Visualization is Essential to Help Your Data Make a Big Impact"
ขั้นตอนนี้เราจะมาหาคำตอบว่า จะมีวิธีเลือกภาพแบบไหนให้ดีที่สุดสำหรับการสื่อสาร? เราสามารถ Visualize ข้อมูลได้หลายรูปแบบ ในแต่ละแบบก็ให้ข้อมูลเชิงลึกที่ไม่เหมือนกัน ฉะนั้น เมื่อเริ่มงานกับข้อมูลที่มีอยู่ในมือ สิ่งสำคัญก็คือ การวิเคราะห์และสรุปประเด็นที่ต้องการจะบอก รวมถึงความสัมพันธ์ที่ต้องการแสดงให้เห็น การกำหนดวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนจะช่วยในการเลือก #DataVisualization ได้อย่างเหมาะสม เพื่อส่งสาระสำคัญได้อย่างดีที่สุด
"คุณสมบัติของกราฟที่ดีจะต้องสื่อสารข้อมูลได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว ไม่เป็นภาระสมองมากเกินไป หรือเกินความจำเป็นสำหรับผู้ชม"
เหตุผลง่ายๆ ที่ควรลดความยุ่งเหยิงของภาพ Visualization เพราะมันทำให้ภาพของเราดูซับซ้อนเกินความจำเป็น ฉะนั้น ทุกองค์ประกอบที่ใส่ลงไปบนชาร์ตหรือกราฟ จะเพิ่มภาระด้านการรับรู้ทางฝั่งของผู้ชม เราควรพิจารณาองค์ประกอบอย่างรอบคอบ ฉะนั้น Visualization ควรตอบโจทย์นี้ให้ได้ก่อน นั่นคือ กราฟนี้สื่ออะไรและควรทำอะไรต่อไป?
การพยายามลดความยุ่งเหยิงจะส่งผลดีต่อการรับรู้ของผู้ชม โดยขั้นตอนนี้จะอ้างอิง หลักการเกสตัลท์ (#Gestalt Principles) หรือจิตวิทยาเกสตัลท์ (Gestalt Psychology) ในการรับรู้ทางสายตา และการนำมาใช้กับ #DataVisualization นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงการจัดตำแหน่ง (Alignment) การใช้พื้นที่ว่าง (White Space) และการปรับความคมชัด (Contrast) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของการออกแบบ ปัจจุบันหลักการดังกล่าวนี้ถูกนำไปใช้กับในหลายวงการ เช่น The Gestalt Principles in Web Design, UI/UX Design, Architecture, Photography เป็นต้น
เรายังต้องพิจารณาอย่างรอบด้านว่า ผู้ชมน่าจะคิดเห็นอย่างไร เพื่อจะได้รู้ว่าควรออกแบบอย่างไร รวมถึงหาข้อสรุปว่า ส่วนใดของภาพน่ามองและจดจำ โดยการปรับแต่งภาพเพื่อสร้างจุดสนใจ เช่น ขนาด สี และตำแหน่ง เป็นต้น ที่จะช่วยดึงความสนใจของผู้ชมไปยังจุดที่ต้องการให้โฟกัส และสร้างลำดับชั้นของส่วนต่างๆ
ขั้นตอนนี้จะเป็นการศึกษา Preattentive attributes คือ คุณสมบัติทางสายตาที่เราสังเกตเห็นได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมาก เราใช้ความรู้ตรงนี้เพื่อส่งสัญญาณให้ผู้ชมรับรู้ได้ด้วยตนเองว่า “ต้องดูที่ไหน” พูดง่ายๆ คือ การออกแบบบางส่วนให้สะดุดตามองเห็นได้ก่อนนั่นเอง
จากภาพตัวอย่างเป็นการสร้างลำดับชั้นการมองเห็นข้อมูลโดยนำความรู้ด้าน Visual Elements Of Art : Hue, Value และ Saturation มาใช้ และเพิ่มคำอธิบายถึงผลการสำรวจแบบเจาะจงแก่ผู้ชมได้
เมื่อพูดถึงฟอร์มและฟังก์ชัน (Form and Function) ของ Data Visualizations อันดับแรกเราต้องคาดคิดไว้ก่อนเลยว่า เราต้องการให้ผู้ชมใช้ข้อมูลนี้เพื่อประโยชน์อะไร (Function) แล้วค่อยแปลงข้อมูลให้อยู่ในฟอร์ม (Form) ที่จะช่วยให้เกิดสิ่งนั้นได้โดยง่าย
ขั้นตอนนี้จะให้ความสำคัญกับการนำแนวคิดการออกแบบผลิตภัณฑ์ (Product Design) มาใช้กับการสื่อสารกับข้อมูล เป็นการเทียบเคียงแนวคิดการออกแบบผลิตภัณฑ์มาใช้อธิบายการสื่อสารข้อมูล โดยมี 3 คุณลักษณะที่เป็นตัวชี้วัดงานออกแบบที่ดี ได้แก่
1. ง่ายต่อการใช้งาน (Affordances) ถ้านำหลักการข้อนี้ไปใช้ออกแบบ #Chart / #Graph / #Diagram ของเรา ก็ต้องใส่ใจกับการสื่อสารข้อมูลที่ผู้ใช้สามารถตีความหรือแปลผลได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน และรวดเร็ว นำไปสู่การใช้ประโยชน์ได้จริง
2. ทุกคนใช้งานได้ (Accessibility) การนำแนวคิดข้อนี้มาใช้ในทาง Visualization อาจหมายถึง การออกแบบการสื่อสารที่เข้าถึงได้แม้ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือไม่ก็ตาม
3. สวยงามน่าใช้ (Aesthetics) ในทาง Visualization แล้วหมายถึง “Good Looking Visualizations” เพื่อให้เกิดแรงดึงดูดความสนใจของผู้ชม เลือกธีมให้เหมาะกับการใช้งานตามบริบทหรือเหตุการณ์นั่นเอง
Practical Data Visualization with Power BI ราคา 490 บาท
ดูรายละเอียดหนังสือเพิ่มเติม --> คลิกที่นี่
ใหม่ล่าสุด!!!! มีจำหน่ายในรูปแบบ E-Book แล้ว ที่ meb - mobile e-books และ Ookbee
สามารถซื้อได้ที่ร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ Se-ed Book, B2S, ร้านนายอินทร์, ศูนย์หนังสือจุฬาฯ
สั่งซื้อออนไลน์ได้ด้วยตัวเองที่ --> สั่งซื้อหนังสือ คลิกที่นี่
บริษัท ไอดีซี พรีเมียร์ จำกัด
200 หมู่ 4 ชั้น 19 ห้อง 1901
จัสมินอินเตอร์เนชั่นแนลทาวเวอร์
ถนนแจ้งวัฒนะ ตำบลปากเกร็ด
อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 11120
โทรศัพท์ : 0-2962-1081-3, 0-2962-2626
โทรสาร : 0-2962-1084